เจ้าชายเดียวดายในอาณาจักรล่องหน

 ::: ชีวิตก็เหมือนการขึ้นรถไฟเหาะ, เราแค่ต้องลองขึ้นสักครั้ง :::

วรรณกรรมเรื่อง “เจ้าชายเดียวดายในอาณาจักรล่องหน (The Invisible Kingdom)” ของสำนักพิมพ์มติชน พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม ภาพประกอบสวย เลย์เอาต์ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละหน้า สำนวนแปลของวรรณสิงห์ ประเสริฐกุลเข้าใจง่าย (ใครที่ยึดติดกับคำราชาศัพท์อาจหงุดหงิดขณะอ่านกับการแปลที่ใช้คำสามัญทั้งเล่ม) ชื่อหนังสือเหมือนเป็นวรรณกรรมเยาวชน แต่ส่วนตัวคิดว่านี่คือหนังสือสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ไม่เท่าทันชีวิตอย่างเราๆ

เจ้าชายเดียวดายฯ เป็นเรื่องราวของเจ้าชายน้อยองค์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในพระราชวังกว้างขวางใหญ่โต เขาไม่ค่อยได้พบปะพูดคุยกับพ่อแม่ ไม่เคยถูกกอด ไม่มีสิทธิ์สงสัยในลิขิตชีวิตของตัวเอง ไม่มีเพื่อนเล่น ทุกคนปฏิบัติต่อเขาในฐานะว่าที่พระราชาในอนาคต มีเพียงคนขัดรองเท้าเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งมันมีความหมายต่อเจ้าชายมาก

นอกจากความเพลิดเพลินแล้ว หนังสือขนาดใหญ่ไซซ์ A4 เล่มนี้ยังให้แรงบันดาลใจและคล้ายเป็นเพื่อนที่คอยสะกิดเตือนไม่ให้เราหลงลืมว่าเราเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่พร้อมทั้งกระทุ้งสีข้างเราเบาๆว่า ชีวิตมันไม่ง่าย แต่ใช่ว่าจะรับมือไม่ไหว

ฉันชอบทุกครั้งที่เจ้าชายน้อยลงไปปรับทุกข์กับคนขัดรองเท้าใต้ท้องพระโรง เขาไม่อยากเป็นเจ้าชาย อยากเป็นแค่เด็กชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ในเมื่อหน้าที่มาก่อนทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่คนขัดรองเท้าสอนเขา

“เราทุกคนต่างต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำในชีวิตกันทั้งนั้นแหละนะ ก็แค่ต้องพยายามทำชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ชีวิตมันขึ้นอยู่กับเรา สร้างเองได้ด้วยสองมือเรานี่แหละ”

ครั้นเมื่ออ่อนไหวและหวาดหวั่นกับการใช้ชีวิต คนขัดรองเท้าก็ปลอบประโลมใจเจ้าชายน้อยด้วยสิ่งที่เป็นสัจธรรมว่า

“…เธอเคยขึ้นรถไฟเหาะไหม ตอนแรกที่รถไฟค่อยๆไต่ความสูงขึ้นไปช้าๆ มันสุดยอดมากเลย จริงๆตอนนั้นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่เราก็คาดหวังและตั้งตารอเสียยกใหญ่ จนตอนที่ขึ้นถึงยอดและรถทิ้งตัวลงมาอย่างเร็วเนี่ย ในหัวเราจะคิดอะไรไม่ออกเลย เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ความรู้สึกทั้งหมดมันท่วมท้นมากๆ จนทำอะไรไม่ได้นอกจากกรี๊ดออกมาดังๆ และพอรถวิ่งวนเป็นรอบที่สอง เราถึงค่อยสนุกไปกับมันเพราะรู้แล้วว่าเดี๋ยวจะเจอกับอะไร เราเลยพร้อมจะรับมือกับมัน แต่พอรอบสามนะ นั่งสบายๆ รอชมวิวที่น่าตื่นตาตื่นใจได้เลย จนรอบสุดท้ายนั่นละที่เราเริ่มเบื่อแล้ว รอให้มันจบเร็วๆ มันเจ๋งมากก็จริง แต่พอถึงจุดหนึ่งเราจะรู้สึกพอและอยากลงจากรถเสียที จริงๆชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ เหมือนการขึ้นรถไฟเหาะที่เหลือเชื่อสุดๆ ที่เราแค่ต้องลองขึ้นดูสักครั้ง…”

เราทุกคนที่ใช้ชีวิตมาแล้วระยะหนึ่งต่างรู้ดีว่าชีวิตมันไม่
ง่าย เพราะเราต้องเจอสิ่งใหม่ทุกวัน ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นทุกนาที

แต่มันก็ไม่ยากเกินรับมือหรอกใช่ไหม…

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author