แล้วชีวิตก็บอกกับเราว่า :: นิ้วกลม

ซื้อหนังสือ “แล้วชีวิตก็บอกกับเราว่า” ของนิ้วกลม โดยสำนักพิมพ์ KOOB มาอ่านเพราะเพื่อนแนะนำว่า “ดี” พออ่านจบฉันพบว่ามันก็ “โอเค” ตามมาตรฐานของนิ้วกลมแหละนะ, จะว่าไปฉันเลิกตื่นเต้นกับงานเขียนของเขามาระยะหนึ่งแล้ว

เนื้อหาหนังสือเล่มนี้รวบรวมมาจากหลากสเตตัสในเฟซบุ๊ก Roundfinger ของนิ้วกลมเอง บางเรื่องฉันเคยอ่านผ่านตาค่าที่ Like เพจเขาไว้ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เคยอ่าน หลายเรื่องฉันเฉยๆ เพราะเขาแค่พิมพ์ชวนแฟนเพจตลอดจนแฟนคลับพูดคุยเรื่อยเปื่อย แต่บางเรื่องก็กระตุกใจให้ฉุกคิดตาม ทั้งคิดถึงตัวเองและคิดถึงคนรอบตัว เช่นตอนหนึ่งที่ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เตือนสตินิ้วกลมในฐานะคนที่ผ่านโลกมามากกว่าและเห็นอะไรมาเยอะกว่าว่า

“เราอาจคิดว่าเราเก่งที่ทำได้ตั้งหลายอย่าง ถามว่าเก่งไหม ก็อาจจะเก่ง แต่การทำงานหนักทำงานเยอะไม่ต้องอาศัยความกล้าเลยนะ มันอาศัยความอึด การไม่ทำต่างหากที่ต้องอาศัยความกล้า กล้าที่จะปล่อย กล้าที่จะไม่ยึดเอาไว้ ตอนแรกมันอาจไม่ค่อยชิน อาจรู้สึกเคว้งๆ ไม่มีอะไรให้ยึดเกาะมากมายนัก ไม่ยุ่งเหมือนเคย อาจรู้สึกว่าว่างเกินไป แต่พอปรับเปลี่ยนจังหวะจนเข้ากับมันได้แล้วจะชอบนะ มีความสุข สงบ และสบายใจ”

อยู่ในวัยทำงาน นอกจากเนื้องานบางอย่างที่เราเลือกไม่ได้นอกจากลงมือทำให้มันเสร็จไป คงไม่มีเรื่องไหนชวนหนักใจเท่า “คน” อีกแล้ว ฉันอ่านเรื่องนี้แล้วชอบมากจึงอยากเล่าต่อ เพราะรู้สึกแบบนี้อยู่เนือง

“ทำงานกับคนทัศนคติไม่ดีเหมือนโดนดูดพลัง ไม่ได้เหนื่อยแค่งาน แต่ยังเหนื่อยใจ ทำงานกับคนทัศนคติดี แต่หันไปก็รู้สึกเหมือนได้เติมพลังจากคนที่เหนื่อยอยู่ข้างๆกันเสมอ

“เพื่อนร่วมงานมีผลต่อ ‘พลัง’ ซึ่งกันและกัน และ ‘พลัง’ เกิดจาก ‘ทัศนคติ’

“ทำงานกับคนทัศคติดี งานยากอาจจะไม่ได้ง่ายขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ยากไปกว่าที่มันเป็น

“ความรู้สึกว่ามีคนร่วมรบกับงานยากอยู่ด้วยกันทำให้เรายินดีที่จะต่อสู้ เพราะเรารวมใจรบกับงาน มิต้องเสียเวลามารบกันเอง”

มองในมุมตัวเอง รอบตัวฉันมีคนที่เป็นแบบข้อความข้างบนหลายคน หากมองในมุมกลับกัน ฉันก็อาจกำลังเป็น “ทัศนคติลบ” ที่กำลัง “ดูดพลัง” ใครบางคนอยู่เช่นกัน

จะว่าไปเราต่างก็เวียนว่ายมาทำร้ายกันไม่จังหวะใดก็จังหวะหนึ่งของชีวิต จนกว่าสายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาเราให้หายไปจากชีวิตของกันและกันนั่นแหละถึงจะเรียกว่าสิ้นสุด, อย่างแท้จริง

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author