ไม่ทำทำไม (dream)

ด้วยคอนเซ็ปต์ “10 นักเขียนนั่งคุยกับ 10 นักฝัน” บวกกับชื่อเล่มและเลย์เอาต์ปกสะดุดตา พร้อมโปรยปกหลังที่ยั่วให้อยากอ่านว่า “นี่คือหนังสือที่จะทำให้คุณรู้ว่าควรลงมือกับความฝันของตัวเองอย่างไร” แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ชอบนอนหลับทับฝันอย่างฉันหยิบ “ไม่ทำทำไม (dream)” ของสำนักพิมพ์ happening จากชั้นหนังสือติดมือกลับบ้านมาด้วย

จะว่าไปแล้วเนื้อหาโดยรวมก็ไม่ต่างจากบทสัมภาษณ์ที่หาอ่านได้ในนิตยสารทั่วไปเท่าไร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ theme ของมัน รายละเอียดของฝัน และวิธีเดินไปบนถนนสายความฝันที่นักฝันแต่ละคนเลือก บวกกับฝีมือการร้อยเรียงเรื่องราวของสิบนักเขียนที่ลื่นไหลอ่านสนุกยิ่งทำให้หนังสือเล่มเล็กเล่มนี้สะกดฉันให้อ่านจบไวกว่าสถิติเทียบเท่าเต่าคลานของตัวเอง


ขณะกรีดนิ้วพลิกเปิดอ่านแต่ละหน้า แต่ละบรรทัดใน “ไม่ทำทำไม” กระทุ้งถามว่าฝันของเราหน้าตาเป็นแบบไหนด้วยการเปิดเปลือยถึงความฝันของทั้ง 10 คน เช่น สิงโต นำโชค อดีตหนุ่มโรงงานผู้กล้าเดินตามฝันทั้งที่ยังไม่ชัดเจนจนกลายมาเป็นนักร้องชื่อดังอย่างทุกวันนี้, วิชพงษ์ หัตถสุวรรณ หนุ่มน้อยจบใหม่ไฟแรงที่ถูกปฏิเสธจากทุกบริษัทที่เขาร่อนใบสมัครงานไป ความผิดหวังครั้งนั้นผลักดันให้เขาเดินตามฝันจนกลายมาเป็นเจ้าของกางเกงยีนส์แฮนด์เมดที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน, นพเก้า เนตรบุตร สาวแกร่งแห่งวงการโฆษณาผู้ทิ้งเงินเดือนสูงลิ่วแล้วหักเลี้ยวพวงมาลัยแห่งฝันผันตัวเองไปเป็นครูสอนปักผ้าจนพานพบกับความสงบสุขที่แท้ในชีวิต, ชีวิตโหดมันฮาของกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่กว่าจะมาเป็นแรปเปอร์ชื่อก้องวงการเพลงไทย และคำหอม ศรีนอก อดีตบรรณาธิการคนเก่งแห่งสำนักพิมพ์ดังผู้หันหลังให้สารพัดความคาดหวังและกดดันสารพัดสิ่งในวงการน้ำหมึกไปถือจอบจับเสียมปลูกผักออร์แกนิกที่โคราชบ้านเกิด เป็นต้น

อ่านจบแล้วฉันรู้สึกนับถือและทึ่งปนอิจฉาในความกล้าบ้าบิ่นของนักฝันเหล่านี้ การออกจากระบบมนุษย์เงินเดือนซึ่งถือว่าเป็นโซนปลอดภัยเพื่อมาหยิบจับทำอะไรเองนั้น เรื่องทุนรอนน่ะสำคัญใครก็รู้ แต่เหนือกว่าเงินคือ “หัวใจนักสู้” และ “แพสชั่น” ที่ทุกคนมีเต็มเปี่ยม

แต่บนถนนสายนี้ไม่ราบรื่นนัก กว่าจะถึงจุดยอดของความฝันที่วาดไว้ เขาและเธอต่างถูกอุดมการณ์โบยตีระลอกแล้วระลอกเล่า ต้องลองผิดลองถูกสารพัด บ้างเจ็บจนจุก บ้างล้มลุกคลุกคลานหลายหน ท้อนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีใครสักคนที่ยอมถอดใจล่าถอย เพราะต่างปักหมุดหมายแห่งฝันไว้แน่วแน่ แม้ระหว่างทางจะผิดจะพลาดบ้าง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ภูมิใจและพูดได้เต็มปากว่า “ได้ทำ” และ “ทำเต็มที่แล้ว”

ยังหรอก, หนังสือเล่มนี้ยังไม่เปลี่ยนชีวิตฉันหรอก แต่มันได้จุดไฟฝันของฉันให้กะพริบวิบไหวอีกครั้ง

ทุกอย่างมีจังหวะและเวลาของมัน, อย่าหยุดฝัน จงกอดความฝันของตัวเองไว้ให้ดี เมื่อมีโอกาสก็อย่ารีรอปลุกปั้นให้มันเป็นจริง — หนังสือเล่มนี้บอกฉันว่าอย่างนั้น

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author