หรือความรักจะเป็นเพียงอุบัติเหตุแห่งชีวิต
ในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้…
จะใครบ้างไหมนะที่หลบพ้นอุ้งมือของความรัก?ไม่มีใครหลุดพ้นห่วงโซ่แห่งรักได้…แม้แต่ติช นัท ฮันห์
ภิกษุพุทธศาสนานิกายเซนชาวเวียดนาม
ผู้อยู่ในเพศบรรพชิตมากว่า 50 พรรษา
“…รักทำให้หวงแหน รักทำให้แสวงหา รักทำให้อิจฉา และอาวรณ์ห่วงหา แต่ความรักเช่นใดเล่า! จึงเป็นดั่งรักแท้ เป็นรักที่บ่มเพาะไว้งอกงามอย่างสวยสด และไม่ก่อให้เกิดทุกข์โทษแก่ชีวิต…”
ไม่มีใครหลุดพ้นห่วงโซ่แห่งรักได้…แม้แต่ติช นัท ฮันห์ ภิกษุพุทธศาสนานิกายเซนชาวเวียดนาม ผู้อยู่ในเพศบรรพชิตมากว่า 50 พรรษา ก็ยังหลีกหนีไม่พ้นอุบัติเหตุแห่งรัก ที่เป็นเสมือนหลุมพรางดักล่อให้ลุ่มหลง ทั้งที่ดำรงตนอยู่ในเพศพรหมจรรย์
ต้นธารแห่งรักยามเมื่ออยู่ในวัยหนุ่มของท่าน…สืบสาวจากความสงบและงดงามของภิกษุณีสาว ผู้เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ หากความรักของท่านเป็นความรักที่ค่อยๆคลี่คลายจากข้อจำกัดในตัวบุคคล มาเป็นความรักที่ไม่มีขีดจำกัดหากมีดุลยภาพอยู่บนปณิธาน และการสร้างสรรค์
เวลาผ่านไปกว่า 40 ปี…วันนี้ท่านจึงได้นำเรื่องราวความรักครั้งแรกของท่าน ที่มีต่อเพื่อนต่างเพศผู้ร่วมเดินทางมาเล่าถึงเพื่อเผยแพร่ เพื่อให้ปุถุชนที่ยังคงวนเวียนจมปลักอยู่ในหลุมพรางแห่งรักทุกคน รู้จักที่จะตรวจสอบธรรมชาติแห่งรักอย่างมีสติเพื่อพร้อมที่จะจัดการกับมันได้อย่างถูกต้อง
“…การตกหลุมรักเป็นอุบัติเหตุที่อาจทำให้แข้งขาของเราหักได้ การดำรงชีวิตแห่งรักและความเข้าใจของท่านเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้สัมผัสรู้สึกได้ว่าระหว่างชีวิตจริง และอุดมคตินั้น เป็นสิ่งที่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้…”
วันนี้ฉันตั้งใจหยิบหนังสือ “ปลูกรัก”เล่มนี้ไปฝากเพื่อนสนิทคนนั้นที่กำลังทุกข์เพราะรัก ด้วยความหวังในใจว่าเมื่อได้อ่าน แง่มุมความคิดบางบทบางตอนของติช นัท ฮันห์ อาจช่วยให้ความรุ่มร้อนในใจคลายลงบ้าง
“…ความรักคืออะไร เราจะจัดการกับความรักได้อย่างไร…เราส่วนใหญ่มักจะหัวปักหัวปำไปกับมัน จนไม่มอง ไม่เห็นอะไร สูญเสียไปแม้แต่สามัญสำนึกบ่อยๆที่ห้วงรักมักเริ่มด้วยความสุข แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเหวลึก…”
หากเหวลึกแห่งความรักดูจะลึก…เกินกว่าที่คนอ่อนไหวอย่างเราจะตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ง่ายๆ แม้จะพยายามป่ายปีนซักเท่าไร ก็กลับดูเหมือนจะยิ่งถลำลึกลงไปทั้งตัวและหัวใจ ยิ่งนานก็ยิ่งพบแต่ความมืดมิดที่ไม่มีทางออก
“…เวลาดอกไม้ร่วงโรยเราไม่ร้องไห้ เรารู้ว่ามันเป็นอนิจจัง ถ้าเราฝึกจนเข้าใจธรรมชาติของอนิจจัง เราจะทุกข์น้อยลงและหาความสุขในชีวิตได้มากขึ้น ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง เราก็จะถนอมทุกสิ่งเหล่านี้ไว้กับปัจจุบัน เรารู้ว่าทุกคนที่เรารักก็ล้วนมีธรรมชาติเป็นอนิจจัง เราจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้เขามีความสุขตอนนี้ เดี๋ยวนี้…”
เวลาดอกไม้ร่วงโรยเธอไม่ค่อยทุกข์ เพราะเธอเข้าใจว่าดอกไม้เป็นอนิจจัง แต่เธอไม่อาจยอมรับความเป็นอนิจจังของคนที่เธอรัก เธอจึงเป็นทุกข์มาก…
ถ้าเพียงแต่ยอมรับและทำความเข้าใจกับชีวิตให้มากขึ้นกว่านี้ ถ้าเพียงแต่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปกับใครคนหนึ่ง เราก็คงจะไม่ทุกข์ไม่ต้องทรมานกับการเปลี่ยนแปลงและการจากพราก ถ้าเพียงแต่เราจะเข้าใจถึงสัจธรรมแห่งชีวิต ทุกอย่างก็คงจะไม่วนเวียนไม่รู้จบรู้สิ้นอยู่อย่างนี้ใช่ไหม?
“…การดับของสิ่งหนึ่งย่อมนำไปสู่การเกิดของอีกสิ่งเสมอ เมื่อความมืดหมดไปแสงสว่างก็เกิดขึ้น…”
ด้วยปณิธานที่มั่นคงในการดำรงตนในเพศพรหมจรรย์ แม้จะตกอยู่ห้วงรัก แต่ท่านก็ไม่อาจปล่อยตนเองไปตามอารมณ์แห่งรัก และตัดสินใจแยกห่างจากภิกษุณีที่ท่านรักทั้งที่ยังอาวรณ์
“…ในตัวอาตมานั้นยังมีธาตุความผูกพัน แต่เสียงแห่งปัญญาก็ย้ำเตือนว่าเราทั้งสองต่างต้องเป็นตัวของตัวเองต้องพยายามแสวงหาจนเกิดความตระหนักรู้…”
ไม่มีสิ่งใดคงสภาพเดิมอยู่ได้แม้แค่ชั่วขณะจิต ท่านหลุดพ้นและเป็นอิสระจาก
ความอาวรณ์ห่วงหาโดยใช้อนิจจังเป็นเครื่องมือช่วยให้มองเห็นความจริงอย่างลึกซึ้ง
หากเธอจะสามารถเข้าใจถึงสัจธรรมนี้ได้อย่างที่ท่านเข้าใจ ฉันคงจะรู้สึกดีกว่า
นี้…แต่นี่ภิกษุณีรูปนั้นกลับก้าวไม่พ้นเหวลึกแห่งรัก
อุบัติเหตุแห่งรักที่เกิดขึ้นทำให้เธอหมดพลังและสุดท้ายก็สึกออกไปจากนิกาย ฉันบอกกับพี่สาวว่า…มันดูไม่ยุติธรรมเลย ความรักครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นจากท่าน…แต่เธอกลับต้องแบกรับความทุกข์นั้นไว้เพียงลำพัง
“…ความรักของอาตมาเหมือนพายุ แล้วเธอก็ถูกพัดพาไปตามกำลังแรงของพายุนั้น เธอพยายามขัดขืนแต่สุดท้ายก็ยอมรับ เราต่างต้องการความเห็นอกเห็นใจ เรายังหนุ่มยังสาวถูกพัดพาไปตามกระแสอารมณ์…”
ท่านเป็นคนโยนห่วงโซ่แห่งความรัก ไปผูกพันหัวใจที่เคยบริสุทธิ์ของภิกษุณีรูปนั้น สุดท้ายท่านก้าวพ้นจากพันธนาการนั้น หากอีกฝ่ายยังไม่อาจตัดใจได้ นี่คือความไม่ยุติธรรมของความรักครั้งนี้ที่ทำให้ฉันรู้สึกอย่างมาก
แต่เพื่อนของฉันไม่เห็นด้วย…เธอว่าติช นัท ฮันห์ ไม่ผิดที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนเอง ท่านไม่ผิดเพราะท่านไม่ได้หมดรักในตัวเธอ ไม่ได้ทอดทิ้งเธอ หากท่านได้พยายามแล้วที่จะใช้ความรักเป็นพลังเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ของเธอ
ภิกษุณีต่างหากที่ไม่มั่นคงเพียงพอ…ความรักทำให้เธอเปลี่ยนแปลงสั่นคลอน ความรักทำให้เธอยึดมั่นและต้องการการสนับสนุนจากคนที่เธอรักจนเกินไป
“…การที่เราอยู่ห่างกันให้ผลในทางบวกหลายอย่าง ระยะทางและเวลาช่วยให้เราสามารถเติบโต มองอะไรต่างๆด้วยสายตาใหม่ๆ และความรักของเราก็มีวุฒิภาวะมากขึ้น ธาตุความผูกพันลดน้อยลง เปิดโอกาสให้ความรักความเมตตาได้เบ่งบาน…”
การพรากจากไม่ได้ทำลายความรักของเรา หากยิ่งทำให้ความรักนั้นมั่นคงขึ้น
นี่คือสิ่งที่ท่านคิดยามเมื่ออยู่ห่างจากเธอ ความรักที่มีต่อเธอไม่ได้ลดน้อยลง หากไม่ได้จำกัดอยู่ที่คนๆเดียว
ความรักนั้นแข็งแกร่งและไพศาลยิ่งขึ้นด้วยการอุทิศตนเพื่องานของท่าน
“…ธรรมชาติความรักที่แท้ของอาตมา…คือความนับถือ ศรัทธา ความไว้วางใจ
…วิธีดีที่สุดที่จะส่งเสริมความรักของเรา คือจงเป็นตัวของเธออย่างแท้จริง เธอต้องเติบโตปลูกฝังความนับถือตัวเองอย่างลึกซึ้งในตัวเธอ เมื่อเธอมีความสุขความพอใจก็เท่ากับเธอส่งเสริมเราทุกคน…”
แล้วเธอล่ะ…ความคิดและความรู้สึกของเธอตรงกันกับท่านบ้างหรือเปล่านะ?
แต่แรกเมื่อจากกัน…เธอเคยได้จดหมายจากท่านเป็นแรงใจในการทำงาน
จดหมายของท่านคือแรงผลักดันให้เธอก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ตั้งใจ หากเมื่อเกิดความผิดพลาดที่ทำให้จดหมายจากท่านมาไม่ถึงมือ
ทำไมเธอจึงไม่อาจเป็นตัวของเธอเองไม่อาจเติบโตและป็นแรงใจให้กับตัวเอง
เหมือนที่เธอเคยทำได้ก่อนที่จะตกอยู่ภายใต้พันธนาการแห่งรัก?
“…ความรักเป็นอุบัติเหตุ แต่เราไม่จำเป็นต้องหลีกหนี หรือประณามความรัก อุบัติเหตุอาจทำให้เราทุกข์ แต่ถ้าเรามีโพธิจิตรเป็นเครื่องนำอันห้าวหาญ มีความตั้งใจที่จะนำความสุขมาสู่คนหมู่มากแล้วไซร้ ก็เท่ากับเรามีธรรมคุ้มครอง และเราก็จะรอดปลอดภัย…”
ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เสมอ ทำไมความรักถึงมีอิทธิพลขนาดนี้ ทั้งที่เป็นแค่อารมณ์ๆหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น?
ปลูกรักคือความคิดความรู้สึกในแง่มุมของติช นัท ฮันห์ ข้อมูลส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลเพียงในด้านที่ท่านรับรู้ แต่ความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ก็คือภิกษุณีรูปนั้นเป็นอย่างไรบ้างหนอ ยามเมื่อต้องพรากจากคนที่เธอรัก ? และเหตุผลแท้จริงที่ทำให้เธอต้องสึกออกจากนิกายนั้นคืออะไรกันแน่?
และในวันนี้…เธอได้หลุดพ้นความทุกข์ทรมานจากความห่วงหาอาวรณ์นั้นแล้วหรือยัง?
“…จงมองย้อนรักแรกของเธอ แล้วเธอจะเห็นว่ารักแรกของเธอไม่มีเริ่มต้น ไม่มีสิ้นสุด ทั้งหมดล้วนแปรสภาพตลอดเวลา…”
รักแรกของเธอไม่มีเริ่มต้น ไม่มีสิ้นสุด หากแต่ยังมีชีวิตอยู่ในกระแสความเป็นตัวเธอ อดีตกำลังมองและยิ้มกับอนาคต อนาคตก็มองและยิ้มกับอดีต
คนเราอาจได้พบ ได้สัมผัสทั้งอดีตและอนาคตได้ในปัจจุบัน…ในวันนี้
“…น้ำจะไหลล้นฝั่งหรือจะระเหยย่อมขึ้นอยู่กับฤดูกาล น้ำจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือทรงกลมย่อมขึ้นอยู่กับภาชนะที่บรรจุ น้ำไหลในฤดูใบไม้ผลิ แข็งตัวในฤดูหนาว
…น้ำเพียงหยดเดียวก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้โลกทั้งสิบทิศบริสุทธิ์สะอาดและแปรสภาพไป…เธอจะเสาะไปจนถึงแหล่งต้นธารของมันได้ละหรือ เธอรู้รึว่าน้ำจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน นี่ก็เช่นเดียวกับความรัก…”
ทุกอย่างล้วน “เกิด” และ “ดับ” อยู่ในตัวเราเองทั้งสิ้น นี่คือผลจากการตรวจสอบธรรมชาติความรักที่แท้จริงของติช นัท ฮันห์
ทั้งความทุกข์และความสุขที่อาจเกิดจากความรัก ล้วนแล้วแต่เกิดที่ใจของเรา
หากเรามีสติพอ…มองเห็นสัจธรรมของความเป็นอนิจจัง ไม่ว่าจะมองไปยังอดีต หรืออนาคต ความรักก็จะยังคงอยู่ ไม่ว่าคนที่เรารักจะอยู่ห่างแค่ไหน หรือเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด
ความรักของเราจะคงอยู่ตลอดกาล เพียงแต่ถ้าเรายังต้องการที่จะรัก หากเราจะไม่จำกัดความรักของเราให้ยึดตึดอยู่กับตัวเขา ความรักของเราก็จะเติบโตเบ่งบานอยู่ในตัวเรา แม้ว่าคนที่เรารักจะไม่มีโอกาสกลับมาอยู่เคียงข้างเราอีกแล้วก็ตาม
ถ้าเพียงแต่เราจะเข้าใจและกำหนดจิตให้คิดได้ เราก็จะไม่ต้องทุกข์เพราะความรัก
ใช่! ถ้าเพียงแต่เราจะทำได้เท่านั้น ก็แล้วจะมีใครซักกี่คนกันล่ะ ที่ทำได้อย่างที่ตัวเองอยากจะทำ…