::: ชีวิตมักโยนข้ออ้างใส่เราเสมอ :::

::: ชีวิตมักโยนข้ออ้างใส่เราเสมอ :::
1.
อาทิตย์ที่แล้วขณะเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ในห้าง MBK เพื่อหารองเท้าคู่ใหม่ที่ใช่และราคาไม่แพงนัก ฉันเปรยกับเพื่อนว่าอยากได้เคสมือถือใหม่เพราะอันที่ใช้อยู่เก่าจนสีถลอก เธอพูดทีเล่นทีจริงว่า “ซื้อมือถือใหม่ง่ายกว่า” ก่อนจะเล่าเรื่องที่เพื่อนอีกคนถูกเพื่อนๆในกลุ่มแซวว่า “ยังใช้ไอโฟน 4 อยู่อีกเหรอ” ฉันพูดว่า “ทำไมล่ะ ถ้ามันยังใช้ได้ก็ไม่เห็นต้องซื้อใหม่เลย สมัยนี้ถ้าใครอ่อนไหวหรือธาตุอ่อนคงอยู่ลำบากเนอะ” แล้วเราก็ขำๆกันไป — แต่ถ้าใช้เงินของอนาคตเพื่อทำให้ตัวเองเข้าพวก ฉันว่ามันก็ไม่ค่อยขำนะ

ลืมบอก, มือถือฉันคือ SONY XPERIA Z ซื้อเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป็นหนึ่งในตัวท็อปของยี่ห้อนี้ แต่ตอนนี้เคสหายากเพราะไม่ใช่ยี่ห้อยอดนิยมในปัจจุบัน สรุป วันนั้นฉันไม่ได้เคสมือถือ แต่ล่าสุดฉันได้เคสแล้วนะ สวยถูกใจเลยแหละ มองผาดเหมือนได้มือถือใหม่เลย, เรื่องนี้บอกฉันว่า ของบางอย่างเราก็ต้องรอ ใจร้อนไม่ได้หรอก

2.
เช้าวันหนึ่งกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางไปทำงาน ฉันได้ยินผู้ชายสองคน อายุน่าจะสี่สิบปลายคุยกันถึงงานประจำที่ทำอยู่ คนหนึ่งพูดเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะฝืนทำงานต่อหรือลาออกดี อีกคนพูดด้วยน้ำเสียงสุดเซ็งแกมสิ้นหวังว่า “กูก็อยากออก แต่กูไม่มีที่ไป” ประโยคนี้รบกวนจิตใจฉันมาจนถึงตอนนี้

จริงเหรอ ถ้าเราคิดจะไป หรือกรุยเส้นทางสายใหม่ให้ชีวิต จะไม่มีที่ที่ใช่สำหรับเราจริงๆน่ะเหรอ ฉันบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมตกอยู่ในภาวะเดียวกันกับผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด, ชีวิตเป็นของเรา เราต้องเลือกได้สิ

3.
นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ออกมาวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ที่พัก (จริงๆก็ไม่ใกล้เสียทีเดียว ต้องเดินแกมวิ่งเหยาะๆราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง) ทั้งที่มีช่วงหนึ่งฉันมาวิ่งทุกเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ บางครั้งก็ไปวิ่งมินิมาราธอนกับเพื่อนๆ ครั้งล่าสุดที่ไปวิ่งคือต้นปีโน่นแน่ะ อยู่ๆก็นึกอยากสุขภาพดี เพราะช่วงนี้ลงพุงหนัก วิ่งนี่แหละง่ายสุด เป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้และไม่ต้องลงทุนอะไร นอกจากพลังใจและรองเท้าหนึ่งคู่

เช้าเมื่อวานฉันงัดตัวเองออกจากเตียง รบรากับความง่วง ความเพลีย และความขี้เกียจอยู่นาน สุดท้ายเลิกโอ้เอ้และเลิกหาข้ออ้างให้ตัวเอง ถ้าไม่วิ่งตอนนี้แล้วเมื่อไรจะได้วิ่ง ที่ผ่านมาฉันผัดผ่อนตัวเองมาตลอด ครั้งนี้ฉันไม่ยอม, ฉันเอาชนะใจตัวเองได้เป็นครั้งแรกในรอบปี

ถ้าคิดจะทำก็ทำได้นี่นะ ที่ผ่านมาเพราะไม่จริงจังเองต่างหาก, ฉันมัวแต่ปล่อยให้กายเป็นนายอยู่เหนือจิตมาตลอด

4.
เมื่อวาน, ด้วยความที่ไม่ได้วิ่งนาน แต่ละก้าวที่สับขาวิ่งร่างกายมันคอยแต่จะประท้วง ขาก็แข็งก้าวไม่ค่อยจะออก (พุงก็หนักมาก ดวกส์! T_T) ฉันเลยวิ่งเหยาะๆ สลับกับเดินจนครบจำนวนรอบที่ตั้งไว้ในใจ

วันนี้, ฉันวิ่งได้ดีขึ้น แม้สปีดจะยังช้าอยู่ แต่ร่างกายดูจะเข้าใจข้อจำกัดของฉันมากขึ้น วิ่งครั้งต่อๆไป ฉันหวังว่ามันจะค่อยๆดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้น…

ถ้าเราเอาจริงและจริงจัง ทุกความพยายามและตั้งใจมันไม่สูญเปล่าหรอก, ฉันบอกตัวเอง

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author