:: เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง :::
:: เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง :::
ในฐานะคนทำหนังสือและชอบอ่านหนังสือ เวลาได้ยินข่าวที่ไม่สู้ดีนักของวงการน้ำหมึก ฉันจะรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
สองเดือนก่อนนิตยสารเปรียวประกาศปิดตัวสิ้นปีนี้ แม้แต่นิตยสารหัวนอกอย่างเอฟเอชเอ็มก็ตัดสินใจปิดตัวลงเช่นกัน หรือนิตยสารเพลย์บอยก็ยอดขายลดลงมากจึงต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะคนหันไปเสพสื่อลามกออนไลน์แทน
ร้านหนังสือก็ทยอยล้มหายตายจากเพราะคนอ่านหนังสือน้อยลงจากที่น้อยอยู่แล้ว ที่ยังเหลือรอดอยู่ได้ก็คือร้านใหญ่ๆสายป่านยาว แต่ก็อยู่ในอาการโคม่า และต้องขายอย่างอื่นที่ไม่ใช่หนังสือด้วย ทั้งนายอินทร์ ซีเอ็ด บีทูเอสมีชั้นขายปากกา ยาดม ยาหม่อง ของจิปาถะ, ไม่ต้องพูดถึงร้านสแตนด์อะโลนให้ปวดใจ เพราะทยอยตายกันไปเกือบหมดแล้ว
หลายวันก่อนมีเพื่อนในเฟซบุ๊กแชร์ข่าวมาว่าห้องสมุดประชาชนทยอยปิดตัว แถวที่พักฉันเองก็ปิดไปได้สักพักใหญ่ๆแล้ว วันนี้พี่ที่รู้จักในเฟซบุ๊กปิดกิจการร้านเช่าหนังสือที่เปิดมากว่าสามปี (ไหนจะร้านอื่นๆอีกล่ะ ร้านขายหนังสือการ์ตูนก็ปิดไปหลายราย) เมื่อเช้าฉันอ่านข่าวที่เพื่อนในลิสต์โพสต์ว่าพ่อแม่ยุคใหม่ในอังกฤษเลิกอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน แต่ให้ลูกเล่นแทบเล็ตและสมาร์ตโฟนแทน (บ้านเราไม่ต้องพูดถึง พ่อแม่หลายคนแม่งพุ่งหามือถือมากกว่าอุ้มลูกเสียอีก)
หลายเดือนก่อนที่สถานีบีทีเอสวงเวียนใหญ่ กทม. จัดแคมเป็นกรุงเทพฯ เมืองแห่งการอ่าน โดยนำชั้นหนังสือมาวางตรงเสาใกล้ๆกับที่หยอดตังค์ซื้อตั๋ว แม้จะเป็นมุมเล็กๆแต่ก็จัดได้สวยงามน่านั่ง วันถัดมามีหนังสือมาวางเต็มชัั้น (ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเก่าและไม่น่าอ่าน) วันรุ่งขึ้นมุมหนังสือถูกรื้อเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เดาว่าผู้หลักผู้ใหญ่คงมาทำพิธีเปิด คงได้ถ่ายภาพ ได้หน้ากันแล้วก็รื้อ, เหี้ยมาก
การมาถึงของสื่อดิจิทัลสารพัด การเฟื่องฟูของโซเชียลมีเดีย มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้วัฒนธรรมการอ่านที่อ่อนแอของเราง่อยเปลี้ยยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีสื่ออื่นแล้วคนจะหันไปอ่านหนังสือในรูปแบบอื่นอย่างอีบุ๊ก, อีพับ หรือคินเดิ้ลแทนหนังสือที่เป็นเล่ม แต่คือแทบไม่อ่านเลย เพราะมีความบันเทิงใจอย่างอื่นล่อใจกว่าการอ่าน, แน่นอนว่ามีคนที่เล่นมือถือ แท็บเล็ต (อ่านอีบุ๊ก, อีพับ, คินเดิ้ล, บทความ และลิงค์ข่าวในมือถือ) และอ่านหนังสือที่เป็นเล่มด้วย แต่น้อย
อีกหน่อยพอสายพานหนังสือตายสนิท ไม่มีหนังสือวางขายตามแผงเพราะสำนักพิมพ์ขาดทุน คนทำหนังสือทดท้อถอดใจ (ว่าแต่มันจะมีวันนั้นจริงๆเหรอ) ผู้คนคงลุกขึ้นมาดัดจริตดีดดิ้นโหยหาวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็ง เรียกร้องหาความศิวิไลซ์จากการอ่าน ลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอว่าเรามาถึงจุดที่ไม่มีหนังสือให้อ่านได้ยังไง เหมือนที่โหยหาเรื่องอื่นๆที่ดับดิ้นไปแล้วให้กลับมาฟื้นฟูหรือคงอยู่ แต่แม่งก็ไม่เคยสนับสนุนห่าอะไรจริงจังเลย รัฐบาลแม่งก็คงรับลูกด้วยการจัดแคมเปญรักการอ่านพอเป็นพิธีแล้วเลิกไปเหมือนหลายๆแคมเปญที่หาความจริงใจไม่เจอ, ที่สุดก็เป็นแค่ไฟไหม้ฟาง #ถุย!