Lalaland นครดารา

จำได้ว่าถ่อไปดูหนัง La La Land ที่ House RCA วันที่ 29 ธ.ค. 59 รอบสองทุ่ม (แค่อยากอวดว่าดูก่อนฉายจริง 555 ดวกส์!) ดูจบแล้วก็ปลื้มปริ่มตาบวมปูดออกจากโรง ยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดของปี 59

หลายคนที่ยังไม่ได้ดูอาจแปลกใจว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงกวาดรางวัลจากเวที Golden Globe ไปแบบถล่มทลาย แถมได้เข้าชิงออสการ์เกินครึ่งโหล ทั้งสาขานักแสดงนำหญิง/ชาย รวมทั้งผู้กำกับและภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, แต่เชื่อเถอะว่ามันดีงามและควรค่าแก่การดูอย่างยิ่ง

ส่วนตัวชอบหนังในทุกมิติ ทั้งบท, ฉาก, การนำเสนอ, นักแสดง, เพลง และดนตรีประกอบ เหมือนตั้งใจทำออกมาเอาใจคนในแวดวงฮอลลีวู้ดโดยเฉพาะ เนื้อหาเล่าถึงเรื่องราวความรักและความฝันของ “เซบาสเตียน” ที่รักและหลงใหลดนตรีแจ๊สและใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของคาเฟ่แจ๊ส และ “มีอา” พนักงานร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ฝันว่าสักวันจะต้องเป็นดาวจรัสแสงแห่งโลกมายา ทั้งพลังรักและไฟฝันผลักดันให้ทั้งคู่มุ่งไปสู่หมุดหมายของชีวิต แต่ในโลกแห่งความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ

นี่เป็นหนังที่ดูเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ หนังดึงดูดเราไว้ตั้งแต่ตอนเปิดเรื่องก่อนจะค่อยๆพาเราดำดิ่งและอินกับทุกจังหวะที่ผู้กำกับประเคนให้ไปจนจบเอนด์เครดิต ชอบทุกท่วงทำนองของบทเพลง และทุกย่างก้าวในชีวิตของตัวละคร ดนตรีเพราะ เพลงดีงาม เอ็มม่ากับไรอันเกิดมาเพื่อหนังเรื่องนี้ เคมีเข้ากันมากถึงมากที่สุด ชอบฉากเต้นรำที่ทำให้เราละสายตาไม่ได้เลย มันเพลิดเพลินเจริญใจมาก ไม่คิดว่าทั้งสองคู่จะร้องเพลงและเต้นรำได้แจ่มเจิดขนาดนี้

ส่วนฉากดราม่าไม่ต้องพูดถึง กินเรียบเอาอยู่กันทั้งคู่อยู่แล้ว บางฉากไรอันเล่นน้อยแต่มีพลังทำลายล้างสูงมาก ยกให้ฉากเซบาสเตียนพยักหน้าเบาๆหน้าเปียโนให้มีอา เป็นซีนที่บีบหัวใจที่สุด มันคือซีนปลดล็อกปมในใจของตัวละคร รวมทั้งพังกำแพงน้ำตาของเราที่นั่งดูอยู่นอกจอให้ทะลักทลายด้วย

แม้โทนหนังจะสื่อออกมาแบบฟุ้งๆ ฝันๆ แบบอวยฮอลลีวู้ดเหลือเกิน แต่ประเด็นที่หนังนำเสนอนั้นสากลและเรียลมาก เชื่อว่าทุกคนที่มีหัวใจไว้สำหรับรักและมีความฝันให้ไขว่คว้าคงอินกันระเบิดระเบ้อ โดยเฉพาะคนที่มีทางแยกให้เลือกเดินบ่อยครั้ง และคนที่มีความล้มเหลวผิดหวังเป็นดั่งเพื่อนสนิท เพราะระหว่างทางชีวิตมีบททดสอบมากมาย ทั้งต้องรบรากับความคิดตัวเอง ไหนจะต้องสู้รบปรบมือกับเสียงของคนรอบข้าง ไม่นับรวมสิ่งยั่วยุต่างๆที่รายล้อมรอบตัวที่คอยทำให้หวั่นไหวไขว้เขวจนเราเดินเบี่ยงออกจากเส้นทางหลักที่วาดไว้อยู่บ่อยหน

บทสรุปของหนังกระทบใจมาก เหมือนโดนหมัดขวาฮุกเข้าที่ลิ้นปี่ แต่ก็ช่วยตบให้เราตื่นขึ้นมายอมรับมันโดยดุษณีว่า ความจริงกับความฝันมันคนละเรื่อง หลายครั้งที่เราเหลียวกลับไปมองจุดเริ่มต้นแล้วพบว่าปลายทางที่เรายืนอยู่มันเป็นคนละฝั่งกัน บางครั้งเราก็ออกนอกเส้นทางมาไกลเหลือเกิน,

เกินกว่าจะหันหลังกลับ แม้หัวใจโหยหาแค่ไหนก็ตาม...

ป.ล. แม้จะชอบหนังเรื่องนี้และรักเอ็มม่ากับไรอันมากแค่ไหน ก็ไม่คิดว่าทั้งคู่ควรได้รางวัลนักแสดงนำ โดยเฉพาะเอ็มม่าที่เสียงเชียร์ไหลมาเยอะมาก คิดว่า นาตาลี พอร์ตแมน จาก Jackie ควรได้มากกว่า ส่วนฝ่ายชายตอนนี้เชียร์ เคซีย์ แอฟเฟล็ก จาก Manchester by the sea (เดี๋ยวรีวิวดึกๆ) แม้ว่าแอนดรูว์ การ์ฟีล จาก Hacksaw Ridge เองก็เล่นดีมากก็ตาม

ถ้าเอ็มม่าได้รางวัลก็คงเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ได้จากหนังเรื่อง Silver linings playbook นั่นแหละ, ความเป็นธรรมชาติชนะความโชว์ของ

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author