The Handmaiden: ล้วงเล่ห์ลวงรัก

::: รู้หน้าไม่รู้ใจ, อย่าตัดสินใครแค่ภายนอก :::

เคยอ่านนวนิยายแปลเรื่อง “เล่ห์รักนักล้วง (Fingersmith)” และเคยดูซีรีส์เรื่องเดียวกันนี้เมื่อสองสามปีก่อนแล้วชอบมาก พอรู้ว่าหนังเกาหลีเรื่อง “The Handmaiden: ล้วงเล่ห์ลวงรัก” ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่องดังกล่าวจึงตีตั๋วไปดูที่ลิโด, เหลือรอบสองทุ่มรอบเดียว คนยังแน่นโรงค่ะมึง

The Handmaiden เป็นเรื่องราวของ “ซุคฮี” สาวกำพร้าผู้เป็นนักล้วงมืออาชีพที่สมรู้ร่วมคิดกับ “ฟูจิวะระ” สิบแปดมงกุฎเพื่อหลอก “ฮิเดโกะ” คุณหนูใสซื่อที่ทั้งรวยและสวยหมดจด ผู้มีท่าทีไม่ประสีประสาโลกและอาศัยอยู่กับน้าเขยจอมเฮี้ยบ ให้แต่งงานกับฟูจิวะระในคราบท่านเคาต์ โดยหวังปอกหลอกเอาสมบัติของคุณหนู, ว่าแต่สิ่งที่เห็นมันเป็นอย่างที่ตาบอกจริงๆหรือ

ด้วยความที่รู้ปูมหลังและที่มาที่ไปของเนื้อเรื่องมาแล้ว และทั้งนวนิยายและซีรีส์ทำออกมาได้ดีมากแล้วจึงไม่คาดหวังกับหนังเรื่องนี้ กะมาดูเพื่อเปรียบเทียบและจับผิดก็เท่านั้น แต่ปรากฏว่าตลอดสองชั่วโมงครึ่งที่นั่งดูคือเพลินมากกกเวอร์ชันหนังทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด ดีงามในแบบของตัวมันเอง

หนังแบ่งออกเป็นสามองก์ โดยองก์แรกเล่าผ่านมุมมองของ “ซุคฮี” ผู้คิดว่าตัวเองเจนต่อโลกมามากเนื่องจากเติบโตมาในครอบครัวมิจฉาชีพ เรื่องราวในสายตาของซุคฮีดำเนินไปแบบสดใสลั้นลาน่ารัก เราจะรู้จักตัวละครแทบทั้งหมดจากองก์นี้ ทุกอย่างดำเนินไปปกติ แต่ตอนท้ายองก์หนังหักมุมจนเราเงิบ และค้างเติ่งไว้แบบนั้น

พอขึ้นองก์สองเล่าผ่านมุมมองของ “ฮิเดโกะ” คุณหนูผู้ใสซื่อ ที่ชีวิตในแต่ละวันวนเวียนอยู่ในห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือให้น้าเขยผู้คลั่งไคล้หนังสือฟัง ซึ่งอีตานี่ก็จ้องจะเป็นสมภารกินไก่วัดอยู่ทุกเมื่อ ขอบอกว่าองก์นี้พีคมากทุกองค์ประกอบ ทุกฉาก ทุกประเด็น ค่อยๆไต่ระดับและเผยให้เห็นมุมมืดของมนุษย์ได้ดีมาก อะไรที่เราเห็นในองก์แรกมันมากลับตาลปัตรไปหมดในองก์นี้ เรียกว่าเหตุการณ์เดียวกันแต่แค่เปลี่ยนคนเล่านี่คือคนละเรื่องเลย แถมยังกลับมาหักมุมอีกรอบ พอองก์สามพูดในมุมมองของพระเจ้าที่เล่าภาพรวมและค่อยๆคลี่คลายทุกปมปัญหา ซึ่งสนุก เหนือชั้น และชาญฉลาดมาก, ฉากดื่มไวน์ปากต่อปากของคุณหนูและท่านเคาต์นี่ กูงี้ลุ้นเยี่ยวเหนียวเลยมึ้งงง

ถ้าตัดความอีโรติกที่ทำให้หนังดูดุดันและจัดจ้านออกไป และมองข้ามประเด็นเลสเบี้ยน นี่คือหนังดรามาชั้นดีที่คอหนังไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง คือบทดีมาก ฉากและภาพสวยอลัง ดนตรีประกอบเพราะ ตัดต่อเลิศ นักแสดงเก่งทุกคน คือกินกันไม่ลงเลยเหอะ ชอบที่มันหักมุมสับขาหลอกไปมา แม้หลายฉากชวนอึดอัดเหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์ แต่หลายตอนก็เรียกเสียงฮามาเบรกอารมณ์ได้ถูกที่ถูกเวลาทีเดียว ที่สำคัญคือผู้กำกับเก็บรายละเอียดของทุกองก์ได้ดีเหลือเกิน

เอ้อ…ฉากเลิฟซีนคือเรียลและดุมาก จนกูอึ้งว่าทำไมพวกมึงกล้าเล่นขนาดนี้คะ ดาราดังๆทั้งนั้น #กราบในความกล้ารัวๆ แถมตอนจบแม่งยังมีเซอร์ไพรส์อีกก๊อก ใครที่ไปดูกับเพื่อนหรือแฟน ตอนเดินออกจากโรงอาจไม่กล้าสบตากันก็ได้นะมึง -,,- (พูดก็พูดเถอะถ้าเทียบฉากเลิฟซีนกับหนังเรื่อง Blue Is the Warmest Colour เรื่อง The Handmaiden ถือว่ายังไม่ดุเท่าและภาพสวยกว่าเยอะ แต่ถ้าเทียบกับหนังอีโรติกขึ้นหิ้งของเกาหลีเรื่อง A Frozen Flower แล้ว ทั้งสองเรื่องคือเบๆไปเลยค่ะ — ว่าแต่มันเทียบกันได้เหรอคะ ชะนีตีฉิ่งกับเก้งกวางรำกระบองเนี่ย 555 ดวกส์!)

โดยรวมคือชอบมาก มีหลายประเด็นให้คิดต่อ ชอบที่หนังกะเทาะสันดานดิบของมนุษย์ได้อย่างถึงแก่น ทุกความวิปริตของมนุษย์ล้วนมีที่มาที่ไปในวิถีผิดปกติทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าแต่ละคนมีปูมหลังของชีวิตมายังไง เราจึงตัดสินกันแค่ผิวเผินไม่ได้ คนที่คิดว่าเป็นผู้ล่าสุดท้ายอาจเป็นเหยื่อดีๆนี่เอง ส่วนคนที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ไม่ทันคนเอาเข้าจริงอาจร้ายและเจนต่อโลกจนน่ากลัว, คนที่ยิ้มให้เราต่อหน้า ลับหลังเราเขาอาจแสดงออกอีกอย่างก็ได้

โลกนี้เราจึงไม่อาจไว้ใจใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์, แม้กระทั่งสัญชาตญาณดิบของตัวเอง

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author