Sing Street :: อย่าละเลยความฝัน เพราะมันมีวันหมดอายุ ::

:: อย่าละเลยความฝัน เพราะมันมีวันหมดอายุ :::

ถ้าใครเคยปลื้ม Once และชอบ Begin Again คุณจะรัก Sing Street ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะคนที่ทำงานในวงการดนตรี (ทั้งหมดเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกัน) เพราะมันมีครบทุกรสทั้งสนุก เฮฮา ดรามาละมุน ฟีลกู๊ด สุข เศร้า เหงา จุก หดหู่ ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยไฟฝัน และความหวัง ที่สำคัญคือเรียลมาก (เฮ้ย นี่มึงจะดีงามไปไหนคะ 555 ดวกส์!)

Sing Street เซ็ตฉากเป็นไอร์แลนด์ในยุค 80s เล่าเรื่องราวของคอร์เนอร์ เด็กหนุ่มที่ครอบครัวมีปัญหาด้านการเงิน ต้องย้ายจากโรงเรียนชั้นดีไปเรียนโรงเรียนรัฐ ที่นั่นทำให้เขาต้องรับมือกับครูใหญ่จอมเฮี้ยบและอันธพาลประจำโรงเรียน และที่เดียวกันนี้ก็ทำให้เขาได้พบกับราฟีน่า เด็กสาวมีปมที่กลายเป็นรักแรกพบและเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งวงดนตรี Sing Street ซึ่งตอนแรกการตั้งวงกะเป็นแค่มุกจีบสาว แต่ไปๆมาๆ ดนตรีคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและเปลี่ยนชีวิตเขาไปโดยปริยาย

หนัง “สุด” ในทุกด้าน “ดีงาม” ในทุกแง่ (เริ่มพิธีอวยเพราะชอบมากเป็นการส่วนตัว 555) อย่างแรกที่ขอชมคือบท ซึ่งแข็งแรงมาก สมเหตุสมผล ขัดใจตอนจบหน่อยเดียว นอกนั้นดีงาม นักแสดงหน้าใหม่ถูกแคสติ้งมาอย่างดีเยี่ยม คือเล่นเก่งและเป็นธรรมชาติกันทุกคน ตั้งแต่พระนางยันตัวประกอบ, ฮาสุด มุกตลกมาเต็มเป็นระยะ และมาถูกจังหวะทุกมุกด้วย, น่ารักสุด ทั้งแก๊งเพื่อนพระเอกและฉากเกี้ยวพาราสีของพระนาง มุกจีบกันมันเชยแต่โคตรจริงใจ น่ารักตรงที่สมัยโน้นไม่มีสมาร์ตโฟน ไม่มีไลน์ ไม่มีเฟซบุ๊ก ถ้าอยากไปเจอหน้าสาวต้องไปเฝ้าไปส่องถึงหน้าบ้านนะเออ, ดราม่าสุด โดยไม่ต้องยัดเยียด ฉากเศร้าตัวละครไม่ฟูมฟาย แค่ทำหน้านิ่งๆแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลเงียบๆ หัวใจของคนดูก็พร้อมสลายไปกับตัวละคร, เพลงเพราะสุด ฉากแต่งเพลง to find you และฉากซ้อมใหญ่คอนเสิร์ตงานพรอมเอาคะแนนความเพราะและเศร้าไปเลยสิบกะโหลก เพลง go now ของอดัม เลอวีนนี่โคตรมาถูกที่ถูกเวลา เอาไปเลยร้อยเต็มสิบ

หนังมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งประเด็นมิตรภาพฉันเพื่อน เพื่อนในแง่เพื่อนจริงๆ เพื่อนที่ยินดีเคียงบ่าเคียงไหล่โดยไม่กังขาถึงผลที่จะตามมาของการทำอะไรบ้าบิ่นของเพื่อน, ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่พี่ผลักดันน้องเต็มที่โดยไม่ปล่อยให้ความอิจฉาครอบงำ, ความรักแบบหนุ่มสาวที่เป็นแรงบันดาลใจให้สร้างสรรค์ศิลปะชิ้นดีผ่านเสียงเพลงชั้นเลิศ, การเหยียดเพศและผิวที่ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ยังคงอยู่, ความมุ่งมั่นและมั่นใจสไตล์ loser แม้ใครจะมองว่าไม่เวิร์ก แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเสียงกระซิบจากหัวใจตัวเอง, การเดินตามความฝันในวัยหนุ่มสาว ถ้ามัวแต่ติดอยู่ใน “กรอบ” แล้วเมื่อไรจะโต, การก้าวออกจาก comfort zone ที่ย้ำว่าถ้าไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแล้วจะมีโอกาสเห็นโลกกว้างไหม, การไม่ปล่อยให้เรื่องแย่ๆ คนเลวๆ มามีอิทธิพลอยู่เหนือชีวิต

ฉากที่ชอบมากคือตอนพระเอกพูดกับอันธพาลที่คอยตามรังควานไม่หยุดหย่อนว่า “นายก็แค่วัตถุดิบที่ฉันนำไปใช้ในการแต่งเพลง นายมีแค่กำลังที่คอยทำลาย แต่ฉันมีพลังในการสร้างสรรค์” โอย คือเท่ คือหล่อ นี่ใช้เป็นโมเดลในการทำลายอีโก้ของอันธพาลและพวกขี้โม้ได้ทุกกรณีเลย

อีกอย่างที่ชอบมากคือพี่ชายของพระเอก แม้จะดูไม่อินังขังขอบกับชีวิตและติดจะขวางโลก แต่เขาพยายามให้คำแนะนำที่ดีกับน้อง สนับสนุนให้น้องดึงเอาพลังสร้างสรรค์และมั่นใจของวัยหนุ่มออกมาใช้อย่างเต็มที่ เขาเป็นตัวละครที่ย้ำกับเราตลอดทั้งเรื่องว่า “อย่าละเลยความฝัน เพราะมันมีวันหมดอายุ”

ประเด็นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ “เพลง” แม้จะเป็นเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ตอนนั่งฟังในโรงมันกลับมีพลังและทำให้เราอินไปกับทุกท่อน ทุกเมโลดี้ เพลงเร็วก็คึกคักสนุกสนาน เพลงรักก็หวานหยดอมยิ้มตาม เพลงอกหักก็กรีดใจจนเจ็บจุก คอร์เนอร์เป็นตัวอย่างของคนอินเลิฟที่สะท้อนความรักผ่านเพลงรักได้เป็นอย่างดี นี่ก็เป็นการย้ำว่า “เพลงรัก…ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้” คืออิจฉานางเอก ปกติแค่มีคนบอกว่าชอบเรายังหัวใจฟู นี่มีหนุ่มมาแต่งเพลงรักแบบถอดหัวใจให้ใครจะไม่รัก — หนังเรื่องนี้น่าจะปลุกกระแสให้วัยรุ่นทั่วโลกอยากเล่นดนตรีเพิ่มขึ้น เพราะเวลาตีกลอง เคาะอิเล็กโทน เกาเบส กรีดกีตาร์ ทุกคนแม่งโคตรมีเสน่ห์ ทั้งที่ตอนอยู่เฉยๆดูกะโปโลคลับและก๊องแก๊งกันมาก

โดยรวมหนังทำออกมาได้ดีมาก ตีแผ่ชีวิตให้เราเห็น (แม้เราจะเห็นมาจนชาชินก็ตาม) ว่า ชีวิตแม่งก็แบบนี้ มันมีทั้งสุขและเศร้านั่นแหละ เหมือนที่ราฟีน่าพูดกับคอร์เนอร์ตอนต้นเรื่องว่า ในขณะที่เรามีความสุขเราก็ต้องพร้อมรับมือกับความทุกข์ด้วย, ประมาณว่าริจะจีบสาวก็ต้องกล้ายอมรับกับความผิดหวัง คิดจะแต่งเพลงก็ต้องยอมเสี่ยงต่อการเจ็บตัว

ชีวิตคือ happy sad มีทั้งสุขปนเศร้า ไม่ว่าเราหรือใครก็ล้วนต้องเผชิญ และต้องหาวิธีอยู่ร่วมกับมันอย่างสันติ

You might also like More from author