Lost girl “ชะนีหลง”

จำได้ว่านอกจากซีรีส์เรื่อง Friends แล้ว ฉันดูเรื่องไหนไม่จบเลย (Gossip girl จอดแค่ซีซัน 3, Glee ตอกฝาโลงหลังจบซีซัน 4, Game of Thrones หยุดแค่ครึ่งซีซันแรก และ Grey’s anatomy ดูถึงแค่จบซีซัน 8 เพราะตัวละครที่รักและเชียร์ตายห่าคาจอ T_T) จนกระทั่งได้ดู Lost girl (ฉันตั้งชื่อไทยว่า “ชะนีหลง” เพราะชีวิตนางเอกซึ่งตามหาภูมิหลังของตัวเองแม่งสับสนอลหม่านและโคตรหลงทางเลย) ซีรีส์สัญชาติแคนาดานี่แหละ ฉันดูจบรวดเดียว 5 ซีซัน

เพราะดูสนุกดูเพลินและชวนจิ้น มีความเป็นแฟนตาซี แอ็กชั่น สืบสวนสอบสวน คอเมดี้ โรแมนติกหวานแหวว และดราม่าเข้มข้น ในเรื่องตัวละครส่วนใหญ่เป็น “เฟ (fae)” ซึ่งมีพลังพิเศษแตกต่างกัน และหลายสปีชีส์ คล้ายๆแวมไพร์อะไรเทือกนั้น เช่น ซัคคิวบัส, หมาป่า, วาลคีรี เป็นต้น โดย “โบ” นางเอกของเรื่องเป็นซัคคิวบัส ส่วน “ไดสัน” พระเอกเป็นหมาป่า มี “ลอเรน” (หมอ, นางเอกอีกคน) และ “เคนซีย์” เป็นมนุษย์สองคนท่ามกลางเฟ

นอกจากความสนุกครบเครื่องที่ซีรีส์เรื่องหนึ่งพึงมีแล้ว ลอสเกิร์ลนำเสนอเรื่องมิตรภาพของตัวละครออกมาได้น่ารักมาก สังเกตได้ว่าในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ในชีวิต ตัวละครแต่ละตัวจะมีเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างอย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ, ทุกคนผ่านช่วงเวลาเลวร้ายได้เพราะเพื่อน

ประเด็นความรักก็ทำออกมาได้ดีและเรียล มีหลายครั้งที่ตัวละครในเรื่องรักๆเลิกๆ นอกใจ และเห็นแก่ตัว แต่เพราะความใจกว้าง เสียสละ และให้อภัย จึงทำให้แต่ละคู่กลับมารักกันเหมือนเดิม — เรื่องนี้เราจะไม่เห็นตัวละครประชดประชันแดกดันกันเด็ดขาด ทั้งที่ชีวิตประจำวันก็วนๆเวียนๆกันอยู่อย่างนั้น จบคือจบ ยินดีหลีกทางให้อีกฝ่ายเริ่มต้นใหม่ ไม่งี่เง่า ไม่เร้าหรือ แต่ถ้ามีโอกาสปรับความเข้าใจก็ไม่รีรอ

จุดเด่นอีกอย่างคือคนเขียนบททำให้ตัวละครทุกตัวมีมิติ ทุกคนมีรักโลภโกรธหลง เวลารักก็ทำเพื่อคนที่รักได้ทุกอย่าง เวลาถูกความโกรธครอบงำก็ฆ่าได้ทุกคนโดยไม่สนถูกผิด, ลอสเกิร์ลย้ำว่าเราทุกคนล้วนมีทั้งความเป็น “มนุษย์” และ “ปีศาจ” ซ่อนอยู่ในร่างเดียว แล้วแต่เราจะปล่อยให้มิติไหนออกมามีบทบาทมากกว่ากัน

แต่ที่ฉันชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือการพูดถึงประเด็น “เพศที่สาม” แบบไม่ยัดเยียดเลย (อย่างว่าแหละ แคนาดาเปิดกว้างเรื่องนี้มานานมาก ก่อนที่อเมริกาจะตื่นเสียอีก)

ปกติเวลาดูละคร, หนัง หรือซีรีส์ไม่ว่าทั้งของไทยและของฝั่งอเมริกา ประเด็นเพศทางเลือกมักถูกนำเสนอออกมาแบบกระมิดกระเมี้ยน ปากว่าตาขยิบ หรือไม่ก็ยัดเยียดดราม่าเกินพอดีจนเลี่ยน นัยว่าเพศที่สามถูกสังคมรังเกียจ จึงทำให้คนที่รักเพศเดียวกันไม่กล้าแสดงตัว บลาๆๆๆ แต่ลอสเกิร์ลนำเสนอประเด็นที่คนครึ่งค่อนโลก (แม้แต่อเมริกาที่เพิ่งอนุญาตให้เกย์แต่งงานกันได้ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเสรีในเรื่องนี้) มองว่าเปราะบางออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เปิดเผย และตรงไปตรงมามาก

ทั้งที่ตัวละครเอกอย่าง “โบ” เป็นไบเซ็กชวล “ลอเรน” เป็นเลสเบี้ยน “เว็กซ์” และ “มาร์ค” เป็นเกย์ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบตลอด 5 ซีซันไม่มีฉากไหนในเรื่องเลยที่เอ่ยคำว่า “เกย์” ไม่มีตัวละครตัวไหนถามขึ้นมาทำลายบรรยากาศกลางวงว่า are you gay? ไม่มีใครใช้เกย์ดาร์จับผิดใครให้คนดูรู้สึกอึดอัด แต่เน้นการกระทำในเชิงสร้างสรรค์และให้เกียรติ คนแวดล้อมก็มองด้วยสายตาปกติ คือถ้าใครชอบคนไหนก็แสดงออกอย่างชัดเจน จะจูบลูบคลำหรือคลุกวงในก็เต็มที่ ทั้งแบบชายหญิง, ชายชาย และหญิงหญิง (ซึ่งในเรื่องแม่งก็มั่วกันฉิบหาย 555 ฉากเลิฟซีนเยอะมากค่ะ ดวกส์!!!) — คือคู่โบกับหมอลอเรน (แฟนๆชิปกันในนาม doccubus) เคมีกระจุยกระจายมาก #ชะนีหลงจะปลุกความเป็นผีในตัวคุณ 555

ชอบข้อความที่โบพูดก่อนจะเข้าเรื่องมากๆ มันมีนัยแฝงหลายแง่ แล้วแต่ใครจะตีความ

“Life is hard when you don’t know who you are. It’s harder when you know what you are.”

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author