The Circle ::: เราอยากเป็นที่จับจ้องของคนทั้งโลกจริงๆหรือ :::

::: เราอยากเป็นที่จับจ้องของคนทั้งโลกจริงๆหรือ :::

The Circle ของสำนักพิมพ์เลเจ้นด์บุ๊คส์ เป็นนวนิยายที่ตีแผ่พฤติกรรมมนุษย์ยุคเสพติดโซเชียลมีเดียโดยแท้ ยิ่งอ่านยิ่งเห็นภาพตัวเองและคนรู้จักหลายๆคนซ้อนทับอยู่ในเงาของ “เม ฮอลแลนด์” นางเอกของเรื่อง เมื่ออ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายแล้วแอบขนลุกเบาๆ ถ้าเราก้าวไปถึงจุดเดียวกับตัวละครในเรื่อง คงไม่มีพื้นที่ไหนในโลกนี้น่าอยู่ เพราะไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่ตรงไหน เรื่องส่วนตัวของเราก็กลายเป็นเรื่องสาธารณะ 100 เปอร์เซ็นต์อยู่ดี

เดอะเซอร์เคิลเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ที่นี่รวบรวมทุกการใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งอีเมล โซเชียลมีเดีย และสารพัดการทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ เมใฝ่ฝันว่าจะได้ทำงานที่นี่ เมื่อฝันของเมเป็นจริง ความทะเยอทะยานของเธอก็พาให้ก้าวเข้าสู่หลุมหลืบแห่งความลับอันตรายที่ซ่อนอยู่ ฉากหน้าองค์กรแห่งนี้เอาใจใส่พนักงานเหมือนเป็นคนในครอบครัว สร้างความเป็นชุมชนในองค์กรด้วยการสรรหากิจกรรมสารพัดอย่างมาบริการ โดยทุกคนต้องแสดงความภักดีองค์กรด้วยการเข้าร่วมกิจกรรม การคอมเมนต์ การซิงก์ข้อมูล และการแสดงอารมณ์ผ่านอีโมติคอน (ในเรื่องมี 2 แบบคือภาพยิ้มกับขมวดคิ้ว) ถ้าใครเผลอละเลยหรือหลงลืมจะถูกตั้งคำถาม, แปลกแยก และถูกมองในแง่ลบทันที

ผู้เขียนเก่งมากที่ค่อยๆพาเราไหลไปกับเนื้อหา ก่อนจะลากเราให้ดำดิ่งไปสำรวจความโง่งม-งี่เง่า-งมงายของตัวละครที่มีเงาเราซ้อนทับอยู่ โดยเฉพาะเม หลายฉากเราจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเธอ อยู่ข้างและเอาใจช่วยเธอ แต่หลายครั้งเราก็รู้สึกต่อต้านและหมั่นไส้เธอ ว่าอีนี่แม่งเยอะฉิบหาย แต่พอท้ายเรื่องเราก็จะรู้สึกกลัวเธอไปโดยปริยาย

ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าเดอะเซอร์เคิลแม่งเป็นองค์กรที่โคตรน่ากลัว ความห่วงใยและใส่ใจพนักงานเกินเหตุของผู้บริหาร รวมทั้งการจับจ้องจากเพื่อนร่วมงานแม่งทำให้รู้สึกอึดอัด ยิ่งบริษัทนี้มอมเมาเหล่าสมาชิกทั่วโลกด้วยสารพัดฟังก์ชันด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย การติดกล้อง SeeChange เพื่อถ่ายทอดสดแทบทุกเหตุการณ์จากทั่วทุกมุมโลก สอดส่องทุกย่างก้าวของทุกคน แม้กระทั่งในห้องนอน โดยอ้างว่าเพื่อการเป็นคน “โปร่งใสและตรวจสอบได้” มันเลวร้ายยิ่งกว่าการคุกคามสิทธิเสรีภาพ แต่แปลกที่คนกลับยิ่งชอบ และยิ่งเรียกร้องให้มีการถ่ายทอดสดเพิ่มมากขึ้น ละเอียดขึ้น ลึกขึ้น (โดยเมเป็นผู้พกกล้องติดตัวตลอดเวลา) จนกลายเป็นว่ายิ่งโชว์เรื่องส่วนตัวบนโซเชียลมีเดียมากเท่าไร ทุกคนยิ่งกลายเป็นคนเรียกร้องมากเท่านั้น ส่วนคนที่ปฏิเสธเครือข่ายนี้และหวงแหนความเป็นส่วนตัวกลายเป็นคนกลุ่มน้อยและแปลกแยกในสังคม

อ่านแล้วนึกถึงเฟซบุ๊ก เพราะเรายินดีกรอกข้อมูลส่วนตัวทุกแง่มุม เรายินดีเปิดเปลือยแทบทุกซอกมุมของชีวิตเพื่อกวักมือเรียกให้คนมาสนใจ เราเอาแต่หมกมุ่นก้มหน้าก้มตาสนใจคนในโลกเสมือน และละเลยคนในชีวิตจริงที่นั่งอยู่ตรงหน้า การเซลฟี่แทบจะเป็นเรื่องเอาต์ไปแล้ว เพราะตอนนี้มีฟังก์ชัน Live ที่ใครๆต่างก็พร้อมใจ “ถ่ายทอดสด” ชีวิตส่วนตัวลงหน้าไทม์ไลน์ของตัวเองเพื่อให้ตัวเองเป็นที่จับจ้องด้วยแล้ว อาการหลงตัวเองแบบหมกมุ่นงมงายยิ่งแผ่วงกว้างมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ตัวละครในเรื่องต่างก็เรียกร้องและคาดหวังว่าจะต้องมีคนตอบสนองสิ่งที่ตัวเองโพสต์หรือซิงก์ทันที ไม่อย่างนั้นก็จะมีการตื๊อ เรียกร้อง คุกคาม จนกระทั่งขมขู่ อย่างในเฟซบุ๊กเองเราก็มักจะเห็นสเตตัสบ่นว่าไม่มีคนมาคอมเมนต์ มาไลค์ ผลสุดท้ายคืออันเฟรนด์หรือบล็อกกัน

แต่ถ้าจะมองให้กว้างกว่าความเป็น Social Media ก็คือระบอบการปกครองแบบเผด็จการที่ครอบงำและจับตาดูประชาชนทุกฝีกก้าวของชนชั้นปกครอง

ฉากที่เมค้นหาแฟนเก่าว่าหายไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนด้วยการLive ผ่านกล้อง SeeChange โดยให้สมาชิกที่ลงทะเบียนในเดอะเซอร์เคิลช่วยกันเป็นเบาะแสเป็นตอนที่น่ากลัว กดดัน อึดอัด และขนลุกมาก มันสะท้อนภาพที่คนปล่อยให้เทคโนโลยีครอบงำมโนสำนึกเพียงเพราะต้องการการยอมรับ ต้องการยอดไลค์ ยอดคอมเมนต์ และยอดแชร์ โดยไม่คำนึงว่าจะส่งผลเสียต่อใครบ้าง — ทำให้นึกถึงตอนนักข่าวถ่ายทอดสดดอกเตอร์คนหนึ่งฆ่าตัวตายออกอากาศขึ้นมาเลย

อ่านจบแล้วอดกลัวไม่ได้ว่า ถ้าชีวิตเราต้องเป็นเหมือนตัวละครในเรื่องจะเป็นยังไง เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราไม่คำนึงถึงเรื่องผิดชอบชั่วดี เราจะสะกดคำว่า “คุณธรรมจริยธรรม” ไม่เป็น เราจะเห็นแต่ความถูกใจแต่ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เราจะผลัดเปลี่ยนกันเป็นทั้งผู้กระทำและถูกกระทำ เราจะคุกคามพื้นที่ชีวิตของกันและกัน แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง คำว่า “ชีวิตส่วนตัว” และ “ความสงบสุข” จะถูกลบออกจากพจนานุกรมชีวิตของเราโดยสิ้นเชิง

เราต้องการใช้ชีวิตอยู่ในโลกแบบนี้จริงๆหรือ

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author