“ในโลกที่ไม่ได้เป็นของเรา”
ไม่รู้ว่าบรรยากาศที่เขาไปเยือนในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซานโตรินี, เวียนนา, ปราก, เซี่ยงไฮ้, โตเกียว, เชียงใหม่ และอื่นๆ มันงดงามจับจิตจนชวนเหงา (บางที่ที่เขาไปเยือนทำให้เขาถึงขั้นอยากตายที่นั่น ทั้งตายแบบลืมตา และตายเงียบๆคนเดียว) หรือตัวหนังสือของเขามันเจือกลิ่นความโดดเดี่ยว หรือตัวเราเองกันแน่ที่รู้สึกเดียวดาย — รู้แต่ว่ากลิ่นความเหงามันลอยอ้อยอิ่งเวียนวนขณะอ่าน
แต่ไม่ว่าจะยังไง ทุกตัวอักษรที่เขาร้อยเรียงออกมามันคือความเหงาที่แสนโรแมนติก เป็นความเดียวดายที่อาบไล้ไปด้วยความละมุนละไม ตัวหนังสือของเขาถ่อมตัวแต่มีพลังมากพอที่จะกระตุกต่อมความคิดและสะกิดหัวใจของเราให้กระเจิงได้
นอกจากความเหงาปนโรแมนติก, ช่ำชองเรื่องคลังคำ, รู้รอบรู้ลึกในประเด็นที่เขียนแล้ว เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของคุณโตมรคือไม่ตัดสิน ไม่ชี้นำผู้อ่าน แต่จะเชิญชวนให้ขบคิดร่วมกัน บางคำถามก็ชวนอึ้งระคนจุก เช่นคำถามนี้เป็นต้น
“บางทีเราก็ทำลายสัญญากับใครต่อใคร เพราะมักคิดว่าจะมีพรุ่งนี้ให้แก้ตัวอยู่เสมอใช่ไหม…”
ใช่, ฉันเองก็เป็นบ่อย ทั้งตั้งใจและไม่ได้เจตนา ฉันชอบคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยแก้ตัวในหลายๆเรื่อง ทั้งที่ก็รู้ดีว่า บางทีพรุ่งนี้อาจมาไม่ถึง, แต่ฉันก็ยังทำ