สิ่งที่ฆ่าเราไม่ได้จะทำให้เรา…แกร่งขึ้น

::: เราเด็ก เราเจ็บปวด เราเติบโต, สิ่งที่ฆ่าเราไม่ได้จะทำให้เราแกร่งขึ้น :::

ระหว่างค้นหาหนังสือเจ้าชายน้อยมาอ่านอีกรอบ ฉันก็เจอหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งพี่ (ที่เคย) สนิทคนหนึ่งเคยมอบให้ และเขียนในใบรองปกตามภาพ (เพื่อนเก่าหลายคนของฉันคงคุ้นตากับลายมือนี้) — เมื่อฝุ่นที่กลบทับบนกล่องความทรงจำของฉันจางลงและค่อยๆเปิดแง้มออก เรื่องราวในอดีตที่ฉันพยายามลืมแต่ไม่เคยลบมันได้เลยก็ค่อยๆกลับมาฉายชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน, ทั้งที่ผ่านมา 10 ปีแล้ว

หลายวันก่อนฉันคุยโทรศัพท์กับ “น้ำน่าน” เพื่อนสนิทที่เคยทำงานที่แรกด้วยกัน (ที่ที่เรามีความผูกพันและความทรงจำร่วมกันมากมาย) แรกๆคุยเรื่องงานที่ยังค้างคา จากนั้นเราก็คุยเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องหนังสือ งานเขียน ความฝัน อนาคต และอดีต รวมทั้งคนที่เคยผ่านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ซึ่งรวมถึงพี่เจ้าของลายมือคนนี้ด้วย — นี่ใช่ไหมที่เขาว่าโลกนี้ไม่มีบังเอิญ

น้ำน่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “รุ่ง แกโตขึ้นเยอะเลยนะ…และทุกคนที่ออกมาจากที่นั่นต่างเติบโตและมีที่ทางของตัวเอง…” ฉันครุ่นคิดและไพล่คิดถึง “ทุกคน” ที่ว่า, โดยเฉพาะ “พี่คนนั้น”

ที่นั่น (ที่ทำงานแรก) “ให้” และ “สอน” อะไรเรามากมาย ถ้าตัดความทรงจำแย่ๆออกไป เรื่องดีๆมีเยอะแยะ ทั้งประสบการณ์การทำงาน การเข้าสังคม โอกาสดีๆต่างๆ การดำเนินชีวิต ฯลฯ ซึ่งหล่อหลอมจนเราเป็นเราทุกวันนี้

สิ่งที่ไม่ว่าใครก็พรากไปจากฉันไม่ได้คือความภูมิใจในตัวตนที่ฉันเป็น (แม้จะเขวไปบ้างตอนที่ยังเด็กเพราะถูกบั่นทอนสารพัด แต่ฉันก็กอบกู้มันกลับคืนมาจนได้ในวันนี้) และมิตรภาพจากเพื่อนและพี่ที่ทุกวันนี้เรายังเจอกันอยู่เรื่อยๆ (แม้จะนานๆครั้งแต่ก็ยังต่อกันติดเสมอ) หรืออย่างน้อยเราก็ยังพบเจอกันตามเฟซบุ๊ก หรือเมื่อเรามีเรื่องทุกข์ใจเราก็ยกหูถึงกันได้

10 ปีก่อน, ตอนนั้นเรายังเด็กมาก อาจเพราะเพิ่งเรียนจบใหม่ไม่ประสากับโลกของผู้ใหญ่ เราดื้อ เราอวดดี เรามีวิธีมองโลกในแบบของเรา ซึ่งนั่นทำให้เราเจ็บปวด มีบาดแผล และรู้สึกแหว่งวิ่น จนต้องโซซัดโซเซเป๋ไป๋ไปพักใหญ่, แต่ก็นั่นละ สิ่งที่ฆ่าเราไม่ได้จะทำให้เราแกร่งขึ้น — ตอนนี้เราทุกคนต่างเรียนรู้จากความเจ็บปวดในอดีต เราเติบโตขึ้นในแบบของเราเอง

สิ่งหนึ่งที่ฉันกับน้ำน่านเข้าใจและรู้สึกตรงกันคือ “มันผ่านมาแล้ว” ฝันร้ายนานาที่เคยบีฑาเราจนบอบช้ำหนักทางจิตวิญญาณมันถูก “วันวัย” ที่เพิ่มขึ้นและยาวิเศษที่ชื่อว่า “เวลา” เยียวยาจนทุเลา (มันไม่หายสนิทหรอก ดีขึ้นได้เท่านี้ก็ถือว่ากำไรแล้ว, ความเจ็บปวดมันก็เหมือนก้อนหินที่เราพกไว้ในกระเป๋า มันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เราชินจึงอยู่ร่วมกับมันได้) ในวันนั้นที่ใจเจ็บหนักเรามองไม่เห็นภาพตัวเองในอนาคตเลยว่าจะจัดวางคนที่เคยทำร้ายเราทั้งทางตรงและทางอ้อมไว้ตรงไหนในชีวิต, จะปล่อยวางหรือหาทางเอาคืน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรามีอะไรให้ทำเกินกว่าจะมานั่งผูกใจเจ็บใครในระดับที่ต้องเอาคืนให้หายแค้น เราแค่ใช้ชีวิตตามปกติ ประคับประคองมันเท่าที่สามารถรับผิดชอบไหว และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในวิถีที่ควรจะเป็น, ถ้าพูดกันอย่างแฟร์ๆทุกอุบัติเหตุของชีวิต ทุกความผิดพลาด เราล้วนมีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นเสมอ

ถ้าเราตระหนักว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม อาจทำให้เราอภัยคนอื่นได้ง่ายขึ้น, แน่ละว่ามันยาก แต่คงไม่เกินกำลังเท่าไรหรอก

— ฉันยังเชื่อเสมอว่าการให้อภัยไม่ใช่แค่การซ่อมแซมความสัมพันธ์เท่านั้น
แต่มันคือการปลดแอกให้เราสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้อีกด้วย–

ข้อดีของการที่เราไม่หมกมุ่นกับบาดแผลในใจและไม่สงสารตัวเองจนเกินไป ทำให้วันนี้เราสามารถวางทิฐิลงได้และหันหน้ามาคุยกับคนที่เคยฝากแผลใจไว้ให้เราในตอนนั้น (อย่างน้อยเราก็รู้สึกว่าถูกกระทำ), แม้จะอยู่ในบรรยากาศที่ไม่เหมือนเดิม แต่เราเอาชนะอีโก้ที่เกาะแน่นเป็นพังผืดในใจลึกๆได้ ให้เลือดมันได้ไหลผ่านหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ (ที่เจ็บได้ร้องไห้เป็น) ได้คล่องขึ้น, นี่ไม่ใช่หรือคือสิ่งสำคัญและท้าทายเราที่สุด — การเอาชนะใจตัวเอง

ใช่, เพราะความเจ็บปวดทำให้เราเติบโต และรู้วิธีรับมือกับปัญหานานาในชีวิตได้ดีขึ้น…

what doesn’t kill you makes you stronger.

คุยกันตรงนี้เลยค่ะ

You might also like More from author